วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

F-15




ต้นกำเนิด
ในปีพ.ศ. 2510 หน่วยข่าวกรองสหรัฐประหลาด[2] เมื่อรู้ว่าสหภาพโซเวียตกำลังสร้างเครื่องบินขับไล่ขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่ามิโคยัน-กูเรวิชค์ มิก-25[3] ในตอนนั้นทางฝั่งตะวันตกไม่รู้ว่ามิก-25 ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องบินสกัดกั้นความเร็วสูง (ไม่ใช่เครื่องบินครองความได้เปรียบทางอากาศ)[4] ดังนั้นจุดเด่นของมันคือความเร็วไม่ใช่ความคล่องตัว หางที่ใหญ่ของมิก-25 นั้นทำให้เครื่องบินบางลำของสหรัฐเสียเปรียบ มันทำให้กองทัพอากาศกลัวว่ามันจะทำงานได้ดีกว่าเครื่องบินของอเมริกา ในความเป็นจริงครีบและหางที่ใหญ่ของมิก-25 มีไว้เพื่อจัดการกับความเฉื่อยในการบินด้วยความเร็วสูงและระดับสูง

เอฟ-4 แฟนทอม 2 ของกองทัพอากาศและกองทัพเรือสหรัฐเป็นเครื่องบินขับไล่แบบเดียวที่มีกำลังและความคล่องตัวพอที่จะจัดการกับภัยคุกคามจากเครื่องบินขับไล่ของโซเวียต[3] ตามนโยบายแฟนทอมนั้นไม่สามารถปะทะกับเป้าหมายโดยที่ยังไม่เห็นอย่างจัดเจนได้ ดังนั้นพวกมันจึงไม่สามารถจัดการกับเป้าหมายในระยะไกลได้ตามที่ถูกออกแบบมา ขีปนาวุธพิสัยกลางเอไอเอ็ม-7 สแปร์โวร์และแม้กระทั่งเอไอเอ็ม-9 ไซด์ไวน์เดอร์ก็ไม่มีประสิทธิภาพในระยะใกล้ซึ่งพบว่าปืนมักเป็นอาวุธที่ดีกว่าในระยะดังกล่าว[5] เดิมทีแฟนทอมไม่มีปืนแต่ประสบการณ์จากสงครามเวียดนามทำให้ต้องเพิ่มปืน เข้าไป ปืนถูกติดเข้าไปที่ด้านนอกและต่อมาเอ็ม61 วัลแคนก็ถูกใช้กับเอฟ-4อี

[แก้] โครงการเอฟ-เอ็กซ์
มีความต้องการเครื่องบินขับไล่แบบใหม่ซึ่งจะขจัดข้อจำกัดในการต่อสู้ระยะใกล้ของแฟนทอมในขณะที่ยังคงมีความสามารถในระยะไกล หลังจากปฏิเสธโครงการวีเอฟเอ็กซ์ของกองทัพเรือสหรัฐ (ซึ่งนำไปสู่เอฟ-14 ทอมแคท) กองทัพอากาศสหรัฐประกาศความต้องการของตนสำหรับเครื่องบินขับไล่ทดลองหรือเอฟเอ็กซ์ (Fighter Experimental, F-X) เป็นความต้องการเครื่องบินขับไล่ครองความได้เปรีบทางอากาศน้ำหนักเบา[6] เครื่องบินขับไล่ที่ว่านั้นต้องมีที่นั่งเดียวโดยมีน้ำหนักสูงสุดตอนวิ่งขึ้น 18,100 กิโลกรัม สำหรับบทบาทอากาศสู่อากาศมีความเร็วสูงสุดที่ 2.5 มัค[7] บริษัททั้งสี่ทำการยื่นข้อเสนอโดยไม่เลือกเจเนรัล ไดนามิกส์และทำสัญญากับแฟร์ไชลด์ รีพับลิก นอร์ท อเมริกัน เอวิเอชั่น และแมคดอนเนลล์ ดักลาส บริษัททั้งหมดยื่นข้อเสนอทางเทคนิคในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2512 กองทัพอากาศได้ประกาศการเลือกแมคดอนเนลล์ ดักลาสในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2512[8] แบบที่เลือกนั้นคือเอฟ-14 ที่มีหางแฝดแต่ปีกที่พับไม่ได้ มันไม่ได้เบาหรือเล็กไปกว่าเอฟ-4 ที่มันจะเข้ามาแทนที่เสียทีเดียว


ห้องนักบินของเอฟ-15เอรุ่นแรกของอีเกิลใช่ชื่อว่าเอฟ-15เอสำหรับแบบหนึ่งที่นั่งและเอฟ-15บีสำหรับแบบสองที่นั่ง แบบเหล่านี้ใช้เครื่องยนต์แพรทท์ แอนด์ วิทนีย์เอฟ100 เพื่อให้ได้อัตราแรงขับต่อน้ำหนักที่ดี ด้วยปืนใหญ่อากาศจีเอยู-7 ขนาด 25 ม.ม.พร้อมกระสุนไร้ปลอกถูกเปลี่ยนไปเป็นเอ็ม61 วัลแคนเนื่องจากปัญหาในการพัฒนา เอฟ-15 มีที่ตั่งสแปร์โรว์ที่ตำบลเช่นเดียวกับแฟนทอม ปีกของมันถูกทำให้แบนราบ ลำตัวที่กว้างยังให้พื้นผิวการยกที่ดี มีคำถามเกี่ยวกับการที่มันไม่สามารถต่อกรกับมิก-25 ที่บินสูงได้ แต่ความสามารถของมันก็ถูกเปิดเผยในการรบ

เอฟ-15เอทำการบินครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2515 พร้อมกับการบินของเอฟ-15บีเดือนเดียวกันในปีพ.ศ. 2516[9]

เอฟ-15 มีเรดาร์จับเป้าแล้วยิงที่สามารถจับเป้าหมายที่บินในระดับต่ำ เอฟ-15 จะใช้คอมพิวเตอร์พร้อมการควบคุมและการแสดงผลแบบใหม่เพื่อลดการทำงานของนักบินและใช้นักบินเพียงหนึ่งนายเท่านั้น ไม่เหมือนกับเอฟ-14 หรือเอฟ-4 เอฟ-15 นั้นมีกรอบห้องนักบินเพียงอันเดียวทำให้มีมุมมองที่ชัดเจน กองทัพอากาศสหรัฐนำเสนอมันเป็นเครื่องบินขับไล่ครองความได้เปรียบทางอากาศที่ดีหลังจากเอฟ-86 เซเบอร์[10]

เอฟ-15 เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าอย่างกองทัพอากาศอิสราเอลและกองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่น และการพัฒนาของเอฟ-15อี สไตรค์อีเกิลได้ก่อให้เกิดเครื่องบินขับไล่โจมตีซึ่งได้เข้ามาแทนที่เอฟ-111 อย่างไรก็ตามมรการวิจารณ์จากกลุ่มมาเฟียเครื่องบินขับไล่ที่ว่าเอฟ-15 มีขนาดใหญ่เกินไปที่จะเหมาะกับการต่อสู้ที่ชุลมุน และแพงเกินไปที่จะจัดซื้อในจำนวนมากเพื่อแทนที่เอฟ-4 และเอ-7 จึงนำไปสู่โครงการแอลดับบลิวเอฟหรือเครื่องบินขับไล่น้ำหนักเบา ซึ่งก่อให้เกิดเอฟ-16 ไฟท์ติ้งฟอลคอนและเอฟ/เอ-18 ฮอร์เน็ทของกองทัพเรือ

[แก้] การพัฒนาเพิ่มเติม

เอฟ-15ซีของกองทัพอากาศสหรัฐเอฟ-15ซีหนึ่งที่นั่งและเอฟ-15ดีสองที่นั่งได้เข้าสู่การผลิตในปีพ.ศ. 2521 ด้วยการบินครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์และมิถุนายนในปีเดียวกัน[11] รุ่นใหม่นี้มีการพัฒนาชุดพีอีพี 2000 (Production Eagle Package, PEP 2000) รวมทั้งเชื้อเพลิงภายในเพิ่มอีก 900 กิโลกรัม การจัดหาถังเชื้อเพลิงภายนอกและน้ำหนักวิ่งขึ้นสูงสุดที่ 30,700 กิโลกรัม[12]

โครงการการพัฒนาหลายระยะหรือเอ็มเอสไอพี (Improvement Program,MSIP) ของเอฟ-15 เริ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2526 พร้อมการผลิตครั้งแรกเป็นเอฟ-15ซีในปีพ.ศ. 2528 การพัฒนารวมทั้งคอมพิวเตอร์ การควบคุมอาวุธที่ตั้งโปรแกรมได้สำหรับเอไอเอ็ม-7 เอไอเอ็ม-9 และเอไอเอ็ม-120 และระบบสงครามอิเลคทรอนิกทางยุทธวิธีซึ่งพัฒนาเป็นเรดาร์เตือนภัยรุ่นเอแอลอาร์-56ซีและชุดตอบโต้เอแอลคิว-135 มีการเพิ่มเรดาร์เอพีจี-70 ซึ่งใช้ไปจนถึงเอฟ-15อี เอฟ-15ซีของเอ็มเอสไอพีก่อนหน้านี้ที่ใช้เรดาร์เอพีจี-63 ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นเอพีจี(วี)1 ซึ่งไว้ใจได้และดูแลรักษาได้ง่ายกว่าในขณะที่ยังทำงานได้ใกล้เคียงกับเอพีจี-70 การพัฒนา[13]

การพัฒนาล่าสุดคือการปรับแต่งเอฟ-15ซีจำนวน 178 ลำให้ใช้เรดาร์เออีเอสเอรุ่นเอเอ็น/เอพีจี-63(วี)3 พร้อมส่งมอบต้นปีพ.ศ. 2552[14] นอกจากนี้กองทัพอากาศยังได้วางแผนที่จะพัฒนาเอฟ-15 ลำอื่นๆ ด้วยระบบหมวกพิเศษ[15]

[แก้] การออกแบบ
เอฟ-15 มีลำตัวที่ทำจากเหล็กทั้งหมดพร้อมกับปีกขนาดใหญ่ ส่วนหางของเครื่องบินนั้นทำมาจากเหล็กทั้งหมดเช่นกันและหางเสือก็เป็นแบบผสม เอฟ-15 มีเบรกอากาศที่ด้านหลังห้องนักบินและล้อลงจอดที่สามารถพับเก็บได้ มันมีเครื่องยนต์เทอร์โบแฟนแพรทท์ แอนด์ วิทนีย์ เอฟ100 สองเครื่องยนต์ติดตั้งอยู่ที่สองข้างของลำตัว ห้องนักบินอยู่ในตำแหน่งที่สูงไปทางด้านหน้าของลำตัวพร้อมกับกระจกและฝาครอบขนาดใหญ่

ความคล่องตัวของเอฟ-15 มาจากน้ำหนักปีกที่ต่ำพร้อมกับอัตราแรงขับต่อน้ำหนักที่สูงทำให้เครื่องบินเลี้ยววงแคบได้โดยไม่สูญเสียความเร็ว เอฟ-15 สามารถบินได้สูงได้ถึง 30,000 ฟุตใน 60 วินาที แรงขับจากทั้งสองเครื่องยนต์นั้นมากกว่าน้ำหนักของเครื่องบิน ดังนั้นจึงให้ความสามารถในการเร่งในตอนที่ไต่ระดับในแนวตั้ง ระบบควบคุมอาวุธและการบินถูกออกแบบมาให้นักบินเพียงคนเดียวก็สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยและต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ[6] รุ่นเอและซีเป็นแบบสองที่นั่ง รุ่นบีและดีเป็นรุ่นสองที่นั่งสำหรับการฝึก รุ่นอีนั้นที่นั่งที่สองเป็นของคนนำร่องหรือผู้ใช้อาวุธ

ระบบอิเลคทรอนิกอากาศหลายภารกิจรวมทั้งหน้าจอเฮด-อัพหรือฮัด (head-up display, HUD) เรดาร์ ระบบนำเฉื่อย (inertial guidance system, INS) ไฟ การสื่อสารด้วยคลื่นยูเอชเอฟ และการนำร่องอากาศทางยุทธวิธีหรือทาแคน (Tactical Air Navigation, TACAN) และระบบลงจอด มันยังมีระบบสงครามอิเลคทรอนิกทางยุทธวิธี ระบบระบุฝ่าย ชุดตอบโต้อิเลคทรอนิก และคอมพิวเตอร์ดิจิตอลกลาง[16]


เอฟ-15อีจากฐานทัพอากาศเอลเมนดอร์ รัฐอลาสก้าหน้าจอฮัดถูกฉายออกมาจากตัวผสม ระบบการบินที่สำคัญทั้งหมดรวบรวมโดยระบบอิเลคทรอนิกร่วม หน้าจอนี้จะแสดงสภาพแสงทำให้นักบินได้รับข้อมูลที่จำเป็นในการติดตามและทำลายอากาศยานของศัตรูโดยไม่ต้องก้มหน้ามองที่อุปกรณ์อื่น[17]

ระบบเรดาร์พัลส์รุ่นเอพีจี-30/70 ที่มีประโยชน์ของเอฟ-15 สามารถมองขึ้นไปยังข้าศึกที่บินอยู่สูงและมองลงไปยังข้าศึกที่บินอยู่ต่ำได้โดยไม่สับสนกับภาคพื้นดิน มันสามารถตรวจจับและติดตามเครื่องบินและเป้าหมายขนาดเล็กที่เคลื่อนที่เร็วในระยะที่สายตาไม่สามารถมองเห็นได้ เรดาร์จะป้อนข้อมูลของเป้าหมายเข้าไปในคอมพิวเตอร์กลางเพื่อยิงอาวุธ ความสามารถในการล็อกเป้าหมายในระยะ 50 กิโลเมตรด้วยเอไอเอ็ม-120 แอมแรมที่สามารถจัดการเป้าหมายที่เกินระยะสายตาได้อย่างแน่นอน สำหรับการต่อสู้ระยะใกล้เรดาร์จะทำการจับเป้าหมายโดยอัตโนมัติ และข้อมูลนี้จะถูกฉายขึ้นที่หน้าจอฮัด ระบบสงครามอิเลคทรอนิกของเอฟ-15 ให้ทั้งการเตือนภัยและตอบโต้โดยอัตโนมัติ[18]


เอฟ-15อีที่ใช้เบรกอากาศและใช้ถังเชื้อเพลิงพิเศษ.เอฟ-15 สามารถใช้อาวุธอากาศสู่อากาศที่หลากหลาย ระบบอาวุธทำให้นักบินทำการต่อสู้ทางอากาศได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ด้วยการใช้หน้าจอฮัดและระบบอิเลคทรอนิกอากาศและการควบคุมอาวุธที่อยู่ที่คันบังคับด้านหน้า เมื่อนักบินเปลี่ยนจากระบบอาวุธหนึ่งไปอีกระบบหนึ่ง การนำวิถีจะแสดงขึ้นบนหน้าจอฮัด[19]

เอฟ-15 สามารถติดอาวุธที่แตกต่างกันได้สี่อย่างด้วยกัน ได้แก่ เอไอเอ็ม-7เอฟ/เอ็ม สแปร์โรว์หรือเอไอเอ็ม-120 แอมแรมที่ลำตัวส่วนต่ำ เอไอเอ็ม-9แอล/เอ็ม ไซด์ไวน์เดอร์หรือเอไอเอ็ม-120 ที่ใต้ปีก และปืนแกทลิ่งเอ็ม61เอ-1 ขนาด 20 ม.ม.ที่ฐานปีกด้านขวา[20]

ถังเชื้อเพลิงพิเศษถูกพัฒนามาเพื่อเอฟ-15ซีและดี พวกมันสามารถติดเข้ากับด้านข้างช่องรับลมของเครื่องยนต์ใต้ปีกแต่ละข้าง[20] อย่างไรก็ตามพวกมันลดการทำงานโดยการเพื่อแรงฉุดและไม่สามารถปลดออกได้ขณะบิน ถังเชื้อเพลิงแต่ละถังสามารถจุดเชื้อเพลิงได้ 2,840 ลิตร[21] ถังเหล่านี้เพิ่มพิสัยซึ่งลดการเติมเชื้อเพลิงทางอากาศ ทุกจุดติดตั้งของอาวุธสามารถติดถังเชื้อเพลิงได้ นอกจากนี้ขีปนาวุธสแปร์โรว์หรือแอมแรมสามารถติดตั้งกับมุมของถังได้[12]


เอ็ม61 วัลแคนตอดตั้งอยู่ที่โคนปีกด้านขวาข้างช่องรับลมเอฟ-15อี สไตรค์อีเกิลเป็นแบบสองที่นั่ง สองบทบาท เป็นเครื่องบินขับไล่ทุกสภาพอากาศ สามารถทำภารกิจจู่โจมลึกและต่อสู้ทางอากาศได้ ห้องนักบินที่ด้านหลังถูกพีฒนาด้วยหน้าจอซีอาร์ทีอเนกประสงค์สี่จอสำหรับจัดการระบบและอาวุธของเครื่องบิน ระบบควบคุมการบินแบบดิจิตอลจะบินตามพื้นผิวภูมิประเทศโดยอัตโนมัติ ด้วยการใช้ระบบเลเซอร์ไจโร[22] สำหรับการบินในระดับต่ำด้วยความเร็วสูงเพื่อโจมตีเป้าหมายทั้งในตอนกลางคืนหรือกลางวันในทุกสภาพอากาศเอฟ-15อีจะใช้เรดาร์เอพีจี-70 และระบบแลนเทิร์น[18]

เรดาร์เออีเอสเอรุ่นเอพีจี-63(วี)2 ถูกติดตั้งในเอฟ-15ซีของกองทัพอากาศสหรัฐ[23] การพัฒนานี้รวมทั้งฮาร์ดแวร์ใหม่เกือบทั้งหมดจากเอพีจี-63(วี)1 แต่เพิ่มเออีเอสเอเพื่อเพิ่มการระวังตัวของนักบิน เรดารเออีเอสเอให้ลำแสงที่ไวทำให้มีการติดตามเป้าหมายแทบจะในทันที เอพีจี-63(วี)2 ทำงานร่วมกับอาวุธของเอฟ-15ซีและทำให้นักบินสามารถใช้ข้อได้เปรียบจากความสามารถของเอไอเอ็ม-120 แอมแรม

[แก้] ประวัติการใช้งาน

เอฟ-15ดีจากฐานทัพอากาศทินดัลล์กำลังปล่อยพลุผู้ที่ใช้งานเอฟ-15 มากที่สุดคือกองทัพอากาศสหรัฐ เอฟ-15 ลำแรก (แบบบี) ถูกส่งมอบครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2517[24] ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2519 เอฟ-15 ลำแลกถูกมอบให้กับฝูงบินขับไล่ที่ 555[24] เครื่องบินลำแรกๆ ได้ใช้เรดาร์เอพีจี-63 ของฮิวจ์ส แอร์คราฟท์

เอฟ-15 ทำแต้มครั้งแรกในปีพ.ศ. 2522 โดยกองทัพอากาศอิสราเอล[25] ในปีพ.ศ. 2522-2524 ในช่วงความขัดแย้งตามชายแดนของเลบานอนกับอิสราเอล เอฟ-15เอได้ยิงมิก-21 13 ลำและมิก-25 สองลำของซีเรียตก เอฟ-15เอและบีถูใช้โดยอิสราเอลในปฏิบัติการหุบเขาเบก้า ในสงครามเลบานอนเมื่อปีพ.ศ. 2525 เอฟ-15 ของอิสราเอลได้ยิงเครื่องบินขับไล่ 40 ลำของซีเรียตก (มิก-21 23 ลำและมิก-23 17 ลำ) และเฮลิคอปเตอร์เอสเอ.342แอลหนึ่งลำ[26] ต่อมาในปีพ.ศ. 2528 เอฟ-15 ของอิสราเอลในปฏิบัติการวู้ดเลคได้ทิ้งระเบิดใส่ฐานบัญชาการของกลุ่มพีแอลโอในตูนีเซีย [27]

นักบินเอฟ-15ซีของกองทัพอากาศซาอุดิอาระเบียได้ยิงเอฟ-4อี แฟนทอม 2 สองลำของอิหร่านตกในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2527 และได้ยิงดัซโซลท์ มิราจ เอฟ1 สองลำของอิรักตกในสงครามอ่าว[28][29][30]

กองทัพอากาศสหรัฐได้ใช้เอฟ-15ซี ดี และอีในสงครามอ่าวเปอร์เซียเมื่อปีพ.ศ. 2534 เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการพายุทะเลทรายที่ซึ่งพวกมันได้รับชัยชนะทางอากาศ 36 ครั้งจากทั้งหมด 39 ครั้ง เอฟ-15อีถูกใช้ในตอนกลางคืนเป็นหลักโดยตามล่าหาขีปนาวุธสกั๊ดและตำแหน่งปืนใหญ่[31] ตามที่กองทัพอากาศกล่าวเอฟ-15ซีได้ทำการสังหารเครื่องบินของอิรักไป 34 ครั้งในสงครามเมื่อปีพ.ศ. 2534 โดยส่วนใหญ่ใช้ขีปนาวุธ มีมิก-29 ห้าลำ มิก-25 สองลำ มิก-23 แปดลำ มิก-21 สองลำ ซู-25 สองลำ ซู-22 สี่ลำ ซู-7 มิราจ เอฟ1 หนึ่งลำ อิล-76 หนึ่งลำ พีซี-9 หนึ่งลำ และเฮลิคอปเตอร์เอ็มไอ-8 สองลำ หลังจากครองความได้เปรียบทางอากาศสำเร็จในสามวันแรก เครื่องบินของอิรักเริ่มหนีไปทางหร่านมากกว่าเผชิญหน้ากับฝ่ายอเมริกา เอฟ-15ซีถูกใช้สำหรับการครองอากาศและเอฟ-15อีถูกใช้เพื่อโจมตีเป้าหมายบนพื้นดินอย่างหนักหน่วง เอฟ-15อีได้ทำการสังหารทางอากาศโดยเป็นเฮลิคอปเตอร์เอ็มไอ-8 ของอิรักโดยใช้ระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ เอฟ-15อีสูญเสียไปสองลำในปีพ.ศ. 2534 จากการยิงจากบนพื้น[32] อีกลำได้รับความเสียหายบนพื้นจากการยิงของขีปนาวุธสกั๊ดใส่ฐานบินในดาราน[33]

พวกมันถูกใช้สนับสนุนปฏิบัติการเซาท์เธิร์นวอชท์โดยทำการลาดตระเวนในเขตห้ามบินเหนืออิรัก ในปฏิบัติการโพรไวด์คอมฟอร์ทในตุรกี เพื่อสนับสนุนนาโต้ที่ปฏิบัติการในบอสเนีย ในปีพ.ศ. 2537 ยูเอช-60 แบล็คฮอว์คสองลำของสหรัฐถูกยิงตกโดยเอฟ-15 ซีผู้ที่คิดว่าเฮลิคอปเตอร์ทั้งสองลำเป็นของอิรักที่เข้ามาในเขตห้ามบิน[34] เอฟ-15ซีได้ยิงมิก-29 สี่ลำของยูโกสลาเวียตกโดยใช้เอไอเอ็ม-120 แอมแรมในปฏิบัติการแอลไลด์ฟอร์ซในโคโซโว[32]

เอฟ-15 ในทุกกองทัพอากาศได้ทำการรบทางอากาศที่สังหารไป 104 ลำโดยไม่สูญเสียเลยสักลำในสถิติเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551[35] ปัจจุบันไม่มีเอฟ-15 (เอ/บี/ซี/ดี) ถูกยิงตกโดยศัตรู มากกว่าครึ่งของการสังหารทั้งหมดทำโดยนักบินของกองทัพอากาศอิสราเอล

[แก้] นักทำลายดาวเทียม

การทดสอบยิงเอเอสเอ็ม-135 เอแซทตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2527 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2529 เอฟ-15เอสองลำได้ถูกใช้เป็นแท่นยิงขีปนาวุธต่อต้านดาวเทียมเอเอสเอ็ม-135 เอฟ-15เอ (หมายเลข 76-0086 และ 77-0084) ถูกดัดแปลงให้บรรทุกเอเอสเอ็ม-135 หนึ่งลูกที่ส่วนกลางพร้อมกับอุปกรณ์พิเศษ[36] มันทำความเร็วได้ 1.22 มัคเป็นแรง 3.8 จีทำมุม 65 องศาขึ้นไปเพื่อปล่อยขีปนาวุธเอแซทที่ความสูง 38,100 ฟุต[37][38] คอมพิวเตอร์การบินถูกพัฒนาให้ควบคุมการไต่ระดับและปล่อยขปีนาวุธ การบินทดสอบครั้งที่สามเกี่ยวข้องกับดาวเทียมสื่อสารที่ปลดประจำการแล้วซึ่งอยู่ในวงโคจรห่างออกไป 555 กิโลเมตร ซึ่งถูกทำลายโดยพลังงานจลน์[37] นักบินวิลเบิร์ต ดี. เพียร์สันเป็นนักบินเพียงคนเดียวที่ได้ทำลายดาวเทียม[38][39]

ขีปนาวุธเอแซทถูกออกแบบมาเพื่อทำลายดาวเทียมจากระยะไกล ด้วยการทำงานกับเอฟ-15เอเป็นครั้งแรก สหภาพโซเวียตอาจสามารถร่วมกับการปล่อยจรวดของสหรัฐด้วยการสูญเสียดาวเทียมสอดแนม แต่เอฟ-15 ที่มีเอแซทจะสามารถแฝงตัวร่วมกับเที่ยวบินนับร้อยของเอฟ-15ได้ โครงการเอแซททำการทดสอบทั้งสิ้นห้าครั้ง โครงการถูกยุบอย่างเป็นทางการในปีพ.ศ. 2531[36][38]

[แก้] ข้อบกพร่องทางด้านโครงสร้าง
เอฟ-15 ทั้งหมดถูกงดใช้งานโดยกองทัพอากาศสหรัฐหลังจากที่เอฟ-15ซีสองลำจากกองกำลังรักษาดินแดนรัฐมิสซูรี ได้ทำการบินและตกในวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 เอฟ-15อีที่ใหม่กว่านั้นได้รับอนุญาตให้ทำภารกิจได้ต่อหลังจากนั้น กองทัพอากาศสหรัฐได้รายงานในวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ว่าโครงสร้างส่วนบกของเอฟ-15 นั้นเป็นต้นเหตุของปัญหา ทำให้โครงสร้างลำตัวส่วนหน้าช่องรับลมรวมทั้งห้องนักบินแยกออกจากโครงสร้างหลัก[40]

เอฟ-15เอถึงดีถูกสั่งให้ระงับการบินจนกระทั่งปัญหาจะถูกแก้ไขเรียบร้อย[41] เอฟ-15 ที่ถูกระงับเริ่มได้รับความสนใจจากสื่อเมื่อมันเริ่มสร้างความน่าหวั่นใจในการป้องกันทางอากาศของสหรัฐ[42] กองกำลังที่ถูกระงับในบางรัฐต้องพึ่งพาเครื่องบินของประเทศเพื่อนบ้านเพื่อการป้องกัน และที่อลาสก้านั้นต้องพึ่งการป้องกันจากกองกำลังของแคนาดา[42]

ในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2551 กองบัญชาการการรบทางอากาศของสหรัฐได้ประกาศการกลับมาทำงานของเอฟ-15เอถึงดี มันยังได้รับคำแนะนำให้บินอย่างจำกัดในทั่วโลกสำหรับรุ่นที่อาจมีได้รับผลกระทบ[43] การรายงานถึงอุบัติเหตุได้เกิดขึ้นในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2551 โดยกล่าวว่าการตรวจสอบซากของเอฟ-15ซีได้เปิดเผยว่าโครงสร้างที่มีปัญหาไม่ได้หลักมาตรฐาน ซึ่งทำไปสู่การแตกร้าวและทำให้โครงสร้างที่เหลือพังในขณะทำการบิน[44] ในการรายงานเมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2551 เอฟ-15 เก้าลำถูกระบุว่ามีปัญหาเดียวกัน ดังนั้นนายพลจอห์น ดี. ดับบลิว. คอร์ลีย์จึงกล่าวว่าอนาคตระยะยาวของเอฟ-15 นั้นเริ่มไม่น่าไว้ใจ[45] ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 กองบัญชาการการรบทางอากาศได้เปิดทางให้กับเอฟ-15เอ-ดีทั้งหมดให้ทำการบินได้หลังจากซ่อมแซมแล้ว [46]

[แก้] อนาคต
เอฟ-15ซี/ดีถูกแทนที่โดยเอฟ-22 แร็พเตอร์ เอฟ-15อีนั้นยังคงประจำการไปอีกหลายปีเพราะบทบาทโจมตีที่แตกต่างและโครงสร้างที่ยังมีอายุการใช้งานน้อยของมัน[1] กองทัพอากาศสหรัฐจะพัฒนาเอฟ-15ซี 178 ลำให้ใช้เรดาร์เออีเอสอีรุ่นเอเอ็น/เอพีจี-63(วี)3[14] และพัฒนาเอฟ-15 ลำอื่นๆ ให้ใช้หมวกพิเศษ[15] กองทัพอากาศจะเก็บเอฟ-15ซี 178 ลำและเอฟ-15อี 224 ลำเอาไว้จนถึงปีพ.ศ. 2568[1]

[แก้] แบบต่างๆ
[แก้] แบบพื้นฐาน
เอฟ-15เอ
เป็นเครื่องบินขับไล่ครองความได้เปรียบทางอากาศในทุกสภาพอากาศแบบหนึ่งที่นั่ง สร้างออกมา 384 ลำตั้งแต่ปีพ.ศ. 2515-2522[47]
เอฟ-15บี
แบบสองที่นั่งสำหรับการฝึก เดิมทีใช้ชื่อทีเอฟ-15เอ สร้างออกมา 61 ลำตั้งแต่ปีพ.ศ. 2515-2522[47]
เอฟ-15ซี
เป็นเครื่องบินขับไล่ครองความได้เปรียบทางอากาศในทุกสภาพอากาศแบบหนึ่งที่นั่งที่ได้รับการพัฒนาเพิ่ม สร้างออกมา 483 ลำตั้งแต่ปีพ.ศ. 2522-2528[47]
เอฟ-15ดี
แบบสองที่นั่งสำหรับการฝึก สร้างออกมา 92 ลำตั้งแต่ปีพ.ศ. 2522-2528[47]
เอฟ-15เจ
เป็นเครื่องบินขับไล่ครองความได้เปรียบทางอากาศในทุกสภาพอากาศแบบหนึ่งที่นั่งสำหรับกองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่น สร้างออกมา 139 ลำภายใต้ใบอนุญาตโดยมิตซูบิชิตั้งแต่ปีพ.ศ. 2524-2540 สร้างในเซนต์หลุยส์[47]
เอฟ-15ดีเจ
แบบสองที่นั่งสำหรับการฝึกของกองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่น สร้างออกมา 25 ลำในญี่ปุ่นโดยมิตซูบิชิตั้งแต่ปีพ.ศ. 2524-2540 ในเซนท์หลุยส์[47]
เอฟ-15เอ็น ซีอีเกิล
แบบสำหรับเรือบรรทุกเครื่องบินที่ยื่นข้อเสนอในทษวรรษที่ 1970 ให้กับกองทัพเรือสหรัฐ เอฟ-15เอ็น-พีเอชเอ็กซ์เป็นอีกข้อเสนอสำหรับการใช้ขีปนาวุธเอไอเอ็ม-54 ฟีนิกซ์ จุดเด่นเหล่านี้คือปลายปีก อุปกรณ์ลงจอดพิเศษ และตะขอที่หางเพื่อการลงจอดบนเรือ[48]
เอฟ-15อี สไตรค์อีเกิล
ดูที่เอฟ-15อี สไตรค์อีเกิลสำหรับเอฟ-15อี เอฟ-15ไอ เอฟ-15เอส เอฟ-15เค เอฟ-15เอสจี เอฟ-15เอสอี และเอฟ-15อีแบบอื่นๆ
[แก้] แบบการวิจัยและทดสอบ
เอฟ-15 สตรีคอีเกิล (72-0119)
เป็นเอฟ-15เอที่ใช้เพื่อสาธิตการเร่งความเร็วของเครื่องบิน มันได้ทำลายสถิติการไต่ระดับด้วยเวลาไป 8 ครั้งระหว่างวันที่ 16 มกราคมและ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 มันถูกส่งมอบให้กับพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2523[49]
เอฟ-15 เอส/เอ็มทีดี (71-0290)
เป็นเอฟ-15บีลำแรกที่ถูกดัดแปลงให้วิ่งขึ้นและลงจอดในระยะสั้น มันเป็นเครื่องบินสาธิตเทคโนโลยีกระบวนท่า[50] ในปลายทศวรรษที่ 1980 มันได้รับการติดตั้งปีกเสริมพร้อมกับท่อไอเสียทรงสี่เหลี่ยม มันใช้เทคโนโลยีกระบวนท่าและวิ่งขึ้นระยะสั้นหรือเอสเอ็มทีดี (short-takeoff/maneuver-technology, SMTD) [51]
เอฟ-15 แอคทีฟ (71-0290)
เอฟ-15 เอส/เอ็มทีดีที่ต่อมาถูกดัดแปลงให้เป็นเครื่องบินวิจัยเทคโนโลยีควบคุมการบิน[50]
เอฟ-15 ไอเอฟซีเอส (71-0290)
เอฟ-15 แอคทีฟต่อมาถูกดัดแปลงให้เป็นเครื่องบินวิจัยระบบควบคุมการบินด้วยปัญญาประดิษฐ์ เอฟ-15บี หมายเลขเครื่อง 71-0290 เป็นเอฟ-15 ที่ยังทำการบินอยู่โดยมีอายุมากที่สุดในเดือนมกราคม พ.ศ. 2551[51]
เอฟ-15 เอ็มเอเอ็นเอ็กซ์
เป็นชื่อของเอฟ-15 แอคทีฟที่ไม่มีหาง แต่ก็ไม่เคยถูกสร้างขึ้นมา
เอฟ-15 สำหรับวิจัยการบิน (71-0281 และ 71-0287)
เอฟ-15เอสองลำถูกใช้ทดลองโดยศูนย์วิจัยการบินดรายเดนของนาซ่า การทดลองรวมทั้ง การควบคุมอิเลคทรอนิกดิจิตอลรวมหรือไฮเดก (Highly Integrated Digital Electronic Control, HiDEC) ระบบควบคุมเครื่องยนต์หรือเอเดกส์ (Adaptive Engine Control System, ADECS) ระบบควบคุมการบินค้นหาและซ่อมแซมตัวเองหรือเอสอาร์เอฟซีเอส (Self-Repairing and Self-Diagnostic Flight Control System, SRFCS) และระบบเครื่องบินควบคุมการเคลื่อนที่หรือพีซีเอ (Propulsion Controlled Aircraft System, PCA)[52] เครื่องหมายเลข 71-0281 ถูกส่งกลับให้กองทัพอากาศและถูกนำไปจัดแสดงที่ฐานทัพอากาศแลงลีย์ในปีพ.ศ. 2526
เอฟ-15บี รีเซิร์จเทสท์เบด (74-0141)
ในปีพ.ศ. 2536 เอฟ-15บีลำหนึ่งถูกดัดแปลงและใช้โดยนาซ่าเพื่อทำการทดสอบการบิน[53]
[แก้] ประเทศผู้ใช้งาน
สำหรับแบบที่มาจากเอฟ-15อีดูที่เอฟ-15อี สไตรค์อีเกิล

อิสราเอล
กองทัพอากาศอิสราเอลใช้เอฟ-15 มาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2520 ในปัจจุบันเครื่องบินเหล่านี้จัดเป็นเอฟ-15/เอบีสองฝูงบินและเอฟ-15ซี/ดี หนึ่งฝูงบิน เอฟ-15เอ/บี 15 ลำแรกมีโครงสร้างที่ผลิตโดยสหรัฐอเมริกา[25] การส่งครั้งที่สองถูกหยุดชั่วคราวเพราะได้รับผลกระทบจากสงครามเลบานอน [54]
ญี่ปุ่น
กองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่นได้รับเอฟ-15เจ 202 ลำและเอฟ-15ดี 20 ลำตั้งแต่ปีพ.ศ. 2524 ซึ่งเอฟ-15เจสองลำและเอฟ-15ดีเจ 12 ลำถูกสร้างขึ้นในสหรัฐและที่เหลือถูกสร้างโดยมิตซูบิชิ ในปัจจุบันเครื่องบินเหล่านี้ ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2550 กองกำลังป้องกันทางอากาศได้ตัดสินใจที่จะพัฒนาเอฟ-15 ให้ใช้กระเปาะเรดาร์สังเคราะห์ เครื่องบินเหล่านี้จะถูกแทนที่โดยอาร์เอฟ-4 ที่ในปัจจุบันอยู่ในประจำการ[55]
ซาอุดีอาระเบีย
กองทัพอากาศซาอุดิอาระเบียมีเอฟ-15ซี/ดี 4 ฝูงบินตั้งแต่ปีพ.ศ. 2524 พวกมันประจำการอยู่ที่ฐานบินในดาราน คามิสมูเชท และทาอิฟ
สหรัฐอเมริกา
กองทัพอากาศสหรัฐมีเอฟ-15 630 ลำในเดือนกันยายน พ.ศ. 2551[56] เอฟ-15 นั้นกำลังจะถูกแทนที่โดยเอฟ-22 แร็พเตอร์
[แก้] เหตุการณ์และอุบัติเหตุครั้งสำคัญ
เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 ขณะที่กองทัพอากาศอิสราเอลกำลังทำการซ้อมรบทางอากาศ เอฟ-15ดีหนึ่งลำได้ชนเข้ากับเอ-4 สกายฮอว์ค นักบินซิวิ เนดิวิและนักบินร่วมของเขาไม่รู้ว่าปีกของเอฟ-15นั้นถูกฉีกออกสองฟุตจากตัวถัง เอฟ-15 หมุนอย่างควบคุมไม่ได้หลังจากถูกชน ซิวิตัดสินใจที่จะพยายามควบคุมเครื่องและใช้สันดาปท้ายเพื่อเพิ่มความเร็ว ทำให้เขาควบคุมเครื่องได้อีกครั้ง เพราะว่าการยกตัวที่เกิดจากพื้นที่ผิวหน้าขนาดใหญ่ของตัวถัง ปีหส่วนหาง และพื้นที่ปีกที่เหลือ เอฟ-15 ได้ลงจอดด้วยความเร็วสองเท่าจากปกติเพื่อสร้างแรงยกและตะขอที่หางของมันหลุดออกไปในตอนที่ลงจอด นักบินสามารถหยุดเอฟ-15 6 เมตรก่อนสุดทางวิ่ง ต่อมาเขาได้กล่าวว่า "ผมน่าจะดีดตัวออกมาถ้ารู้ว่ามันเกิดขึ้น"[57][58]
ในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2533 เอฟ-15 ลำหนึ่งที่ฐานทัพอากาศเอลเมนดอล์ฟ ได้เกิดยิงเอไอเอ็ม-9เอ็มใส่เอฟ-15 อีกลำหนึ่งโดยอุบัติเหตุ เครื่องบินที่ได้รับความเสียหายสามารถลงจอดได้อย่างปลอดภัย ต่อมามันได้รับการซ่อมแซมและเข้าประจำการต่อ[59]
ในวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 ในขณะซ้อมการเข้าสกัดกั้นเหนือทะเลญี่ปุ่น เอฟ-15เจลำหนึ่งถูกยิงตกโดยขีปนาวุธเอไอเอ็ม-9 ที่ยิงโดยลูกหมู่ของเขาโดยอุบัติเหตุเหมือนกับที่เกิดขึ้นในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2533 นักบินดีดตัวได้อย่างปลอดภัย[60]
เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2544 ขณะการซ้อมบินระดับต่ำเหนือสกอตแลนด์ เอฟ-15ซีสองลำของกองทัพอากาศสหรัฐได้ตกลงใกล้กับยอดเขาแห่งหนึ่ง[61] นักบินทั้งสองเสียชีวิตในอุบัติเหตุซึ่งต่อมาส่งผลต้องนำตัวผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศของกองทัพอากาศอังกฤษไปขึ้นศาล แต่เขาก็บริสุทธิ์ [62]
ในวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 เอฟ-15ซีตกลงขณะทำการซ้อมรบใกล้กับเซนท์หลุยส์รัฐมิสซูรี นักบินดีดตัวได้แต่ได้รับบาดเจ็บสาหัส การตกมาจากโครงสร้างที่เกิดเสียหายขณะทำการบิน ในวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 เอฟ-15 ทั้งหมดถูกระงับการบินหลังจากทำการสืบสวนหาสาเหตุของการตก[63] และวันต่อมาก็ได้ทำการระงับเอฟ-15 ที่ทำการรบอยู่ในตะวันออกกลาง[64] เมื่อถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 เอฟ-15 มากกว่า 1,100 ลำถูกระงับการบินทั่วโลกเช่นเดียวกับอิสราเอล ญี่ปุ่น และซาอุดิอาระเบีย[65] เอฟ-15 ได้รับการอนุญาตให้บินขึ้นอีกครั้งในวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550[66] ในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2551 กองทัพอากาศสหรัฐให้เครื่องเอฟ-15เอ-ดี 60% กลับไปทำการบินได้[43] ในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2551 มีการเปิดเผยว่าเกิดจากโครงสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน[44] กองทัพอากาศอนุญาตให้เอฟ-15เอ-ดีทั้งหมดขึ้นบินอีกครั้งในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551[46] ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2551 นักบินที่ได้รับบาดเจ็บได้ทำการฟ้องบริษัทโบอิงที่ผลิตเอฟ-15[67]
[แก้] รายละเอียด เอฟ-15ซี อีเกิล
ลูกเรือ นักบิน 1 นาย
ความยาว 19.43 เมตร
ระยะระหว่างปลายปีกทั้งสองข้าง 13.05 เมตร
ความสูง 5.63 เมตร
พื้นที่ปีก 56.5 ตารางเมตร
น้ำหนักเปล่า 12,700 กิโลกรัม
น้ำหนักบรรทุก 20,200 กิโลกรัม
น้ำหนักวิ่งขึ้นสูงสุด 30,845 กิโลกรัม
ขุมกำลัง เครื่องยนต์เทอร์โบแฟนแพรทท์แอนด์วิทนีย์ เอฟ100-100 -220 หรือ -229 จำนวน 2 เครื่อง เมื่อใช้สันดาปท้ายจะให้กำลังเครื่องละ 25,000 ปอนด์สำหรับ -220 และ 29,000 ปอนด์สำหรับ -229
ความเร็วสูงสุด
ระดับสูง 2.5 มัค (2,660 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)
ระดับต่ำ 1.2 มัค (1,450 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)
รัศมีทำการรบ 1,967 กิโลเมตร
ระยะทำการขนส่ง 5,550 กิโลเมตร (มีถังเชื้อเพลิงเพิ่ม)
เพดานบินทำการ 65,000 ฟุต
อัตราการไต่ระดับ 50,000 ฟุตต่อนาที
บินทน: 5.25 ขั่วโมง เมื่อไม่ได้เติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ และ 9.7 ชั่วโมง เมื่อเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ
อาวุธ
ปืน ปืนแกทลิ่งเอ็ม61เอ1 ขนาด 20 ม.ม.หนึ่งกระบอกพร้อมกระสุน 960 นัด
ขีปนาวุธ เอไอเอ็ม-7เอฟ สแปร์โรว์ เอไอเอ็ม-120 แอมแรม เอไอเอ็ม-9 ไซด์ไวน์เดอร์
[68][69][70][71][72]

1 ความคิดเห็น: